อาณาบริเวณทางภาคเหนือของไทย
ที่เรียกว่า “ล้านนา”นั้น
ประกอบด้วยจังหวัดต่าง ๆ ๘ จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พะเยา แพร่
น่านและแม่ฮ่องสอน เคยมีประวัติอันซับซ้อนและยาวนานเทียบได้กับสมัยสุโขทัย
เคยมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้พระยากาวิละ
ซึ่งเป็นผู้ครองเมืองลำปางขึ้นไปปกครองเชียงใหม่ อันถือว่าเป็นศูนย์กลางทั้งด้านปกครอง
การเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
การแสดงพื้นบ้านของภาคเหนือมีความเด่นอยู่ในรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าเคยอยู่ในอำนาจของรัฐอื่น ๆ มาบางระยะบ้าง ก็มิได้ทำให้รูปแบบของการแสดงต่าง
ๆ เหล่านั้นเสื่อมคลายลง ส่วนที่ได้รับอิทธิพลก็มีอยู่บ้าง
แต่ก็ได้รับการประยุกต์ให้เขารูปแบบของล้านนาดั้งเดิมอย่างน่าชมเชยมาก
แสดงว่าสามารถรักษาเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ศิลปะแห่งการฟ้อนรำของไทยภาคเหนือ
มีแบบอย่างดั้งเดิมที่รักษากันไว้แบบหนึ่ง กับแบบอย่างที่ปรับปรุงขึ้นใหม่
ตลอดจนแบบอย่างสร้างขึ้นแต่มีพื้นฐานดั้งเดิมอยู่ในตัว ซึ่งถ้าจะแยก ให้ชัดเจนก็จะได้ดังนี้
การฟ้อนรำแบบดั้งเดิม
แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๓ ประเภท คือ ฟ้อนเมือง ฟ้อนม่าน
และฟ้อนเงี้ยวดังต่อไปนี้
๑. ฟ้อนเมือง
หมายถึงการฟ้อนรำแบบพื้นเมือง เป็นการฟ้อนรำที่มีแบบอย่างถ่ายทอดสืบ ต่อกันมานานอันประกอบด้วยการฟ้อนรำ
ดนตรี และการขับร้อง ซึ่งฟ้อนบางอย่างก็มีแต่ดนตรีกับฟ้อนแต่ไม่มีการขับร้องอาจจำแนกได้หลายชนิด
ฟ้อนเล็บแบบดั้งเดิม ผู้แสดงเป็นหญิงทั้งหมด
ใช้ดนตรีประกอบคือ วงติ่งโนง ประกอบด้วยกลองแอว (กลองติ่งโนง) หรือกลองหลวง
กลองตะโล้ดโป้ด ปี่แนน้อย ปี่แนหลวง ฉาบ ฆ้อง
ฟ้อนเล็บนี้ภายหลังได้รับการปรับปรุงใหม่ ทำให้ลีลาการฟ้อนรำแตกต่างออกไปจากเดิมบ้าง
ฟ้อนดาบ มีกระบวนท่ารำ ๓๒
ท่านับเป็นแบบของล้านนาโดยเฉพาะ ผู้แสดงเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้
ใช้วงปูเจ่เป็นวงดนตรีประกอบ มีกลองปูเจ่หรือกลองกันยาว ฉาบ ฆ้องชุด (๓ หรือ ๗
ลูก) เป็นการรำดาบที่สวยงามมาก
ฟ้อนเจิง เป็นการฟ้อนด้วยมือเปล่า
ใช้ดนตรีเช่นเดียวกับฟ้อนดาบ ผู้แสดงเป็นผู้ชายมีท่าต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า ๓๐ ท่า
ซึ่งมีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาตลอด และยังรักษาแบบอย่างอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน
ฟ้อนผีมด เป็นลักษณะการร่ายรำของคนเข้าทรง
เช่นเดียวกับการทรงหรือเข้าแม่ศรีของภาคกลางใช้วงดนตรีป๊าด คือ วงปี่พาทย์นั่นเอง
แต่ใช้เพลงที่ออกทำนองมอญหรือพม่า เป็นการฟ้อนร่วมกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง
สำหรับพิธีการต่าง ๆ
ฟ้อนแง้น เป็นที่นิยมอยู่ในแถบจังหวัดแพร่
น่าน เชียงราย พะเยา ประกอบการบรรเลงดนตรีสะล้อซึงและปี่ เมื่อซอสิ้นคำลงและปี่เป่ารับตอนท้ายก็ฟ้อนรำ
ฟ้อนได้ทั้งหญิงและชาย ฯลฯ
๒. ฟ้อนม่าน หมายถึงการฟ้อนรำตามแบบอย่างของพม่าหรือมอญ
คงจะเป็นด้วยเมื่อครั้งเชียงใหม่เป็นเมืองขึ้นของพม่า
จึงมีการถ่ายทอดแบบอย่างการฟ้อนรำ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ
รำม่านหรือฟ้อนพม่า เป็นการรำตามแบบแผนของพม่า
โดยการยกแขยแอ่นตัวยืดขึ้นสูง แล้วทิ้งตัวลงต่ำทันที จึงดูคล้ายการเต้นช้า ๆ
แต่อ่อนช้อย มีทั้งที่รำเดี่ยวและรำหมู่ ตลอดจนรำเป็นคู่หญิงชาย
แต่ค่อนข้างหาดูได้ยาก ทั้งท่ารำก็ไม่ค่อยมีแบบแผนมากนัก ดนตรีประกอบใช้ดนตรีพื้นเมืองที่ออกสำเนียงพม่าหรือมอญ
ฟ้อนผีเม็ง เป็นการฟ้อนรำโดยการเข้าทรงเช่นเดียวกับฟ้อนผีมด
นิยมเล่นในงานสงกรานต์ตามแบบแผนของชาวรามัญ (มอญ)
ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในดินแดนล้านนาส่วนหนึ่งหลังจากอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและพม่าเคยกวาดต้อนเอาเข้ามาอยู่ตามหัวเมืองเหนือ
ในการฟ้อนนี้จะตั้งเตาไฟและหม้อดินบรรจุปลาร้าไว้ตรงหน้าโรงพิธีซึ่งปลูกแบบเพิงง่าย
ๆ การฟ้อนเริ่มด้วยการที่ผู้เข้าผีเริ่มขยับร่างกาย
๓. ฟ้อนเงี้ยว ความจริงแล้ว
ฟ้อนเงี้ยวเป็นการฟ้อนตามแบบแผนของชาวไตหรือไทยใหญ่ การฟ้อนของชาวไตมีหลายแบบ
ส่วนใหญ่แล้วมักใช้กลองก้นยาว ฉาบ และฆ้อง เท่านั้น มีอยู่บ้างที่ใช้ดนตรีอื่น คือ
ฟ้อนไต
ฟ้อนเงี้ยวแบบดั้งเดิม เป็นการฟ้อนรำของผู้ชายฝ่ายเดียว
ไม่มีผู้หญิงปนเหมือนที่มีการประยุกต์ขึ้นใหม่
ตามแบบดั้งเดิมนั้นไม่กำหนดท่ารำที่แน่นอน แต่จะออกท่ารำ ต่าง ๆ ผสมการตลกคะนองไปด้วยในตัว ไม่ลง “มง แซะ มง …” แต่จะออกทำนองกลองก้นยาว คือ “บอง บอง บอง เบอง เทิ่ง บอง” การแต่งกายก็แต่งแบบชาวไตมีการพันศรีษะด้วยผ้าขาวม้า
ฟ้อนกินราหรือกิงกะหลา แบบเดิมเป็นอย่างไรไม่อาจระบุชัดได้
เพราะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงออกไปต่าง ๆ แม้การแต่งกายก็เช่นเดียวกัน
เดิมนั้นเป็นการรำเลียนแบบนก มีการรำคู่กัน เกี้ยวพาราสีกัน หรือหยอกล้อเล่นหัวกัน
ดนตรีที่ใช้ประกอบการรำก็คือกลองก้นยาว ฉาบ ฆ้อง ไม่มีการร้อง
ฟ้อนกำเปอหรือกำเบ้อ
กำเบ้อคงแต่งกายด้วยปีกหางอย่างนกหรือผีเสื้อ มีสีต่าง ๆ สวยงาม
แต่ถ้าเป็นการแสดงทั่วไปก็ไม่มีการแต่งกายอย่างนั้น
เพียงแต่แบบแผนท่ารำค่อนข้างไปทางธรรมชาติมากเท่านั้นดังนั้นชาวบ้านก็อาจฟ้อนรำได้
ฟ้อนโต เป็นการฟ้อนในรูปของสัตย์
เช่น มังกร กิเลน หรือสิงโต แต่งกายตามแบบของสัตว์นั้น ๆ บางแห่งเป็นกวางหรือฟาน
มีการเต้นตามจังหวะดนตรี กลิ้งตัวไปมา หรือเดินอวดร่างกาย อาจมีหลายคน หรือเป็นคู่
หรือแสดงเดี่ยว ทำให้นึกถึงการแสดงของจีนที่ทำเป็นร่างของสิงโต ใช้คนแสดง ๒ คน
เป็นขาคู่หน้า ๑ คน เป็นขาคู่หลัง ๑ คน ต้องเต้นให้รู้ท่าทางจังหวะกันอย่างคล่องแคล่ว
ฟ้อนดาบ
แตกต่างไปจากฟ้อนดาบแบบล้านนา เพราะมีความรวดเร็ว
คล่องตัวมากกว่าเกือบจะไม่ห่วงเรื่องจังหวะดนตรีเลย กลายเป็นว่าดนตรีต้องช้าเร็ว
ตามผู้ฟ้อนรำ ดาบที่ใช้รำนั้นยาวมาก แต่เมื่อฟาดเข้าหาตัวแล้ว การงอตัวหลบปลายดาบเป็นที่น่าหวาดเสียวมาก
ท่ารำเป็นท่าตามแบบแผนดั้งเดิมไม่มีการปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างใด
ฟ้อนไต เป็นการฟ้อนรำที่ไม่จำกัดจำนวนคน
อาจออกเป็นขบวนยาวได้ มีลีลาการรำที่ช้าคล้ายฟ้อนพื้นเมืองของล้านนา
เนื่องจากเนื้อแท้การฟ้อนนี้ เป็นการฟ้อนเพื่อความสามัคคี
จึงได้รับความสนใจมากจนกำลังจะได้รับการพัฒนาขึ้นในรูปของการรำแบบใหม่
นอกจากการฟ้อนรำดังกล่าวมาแล้ว
ยังมีการเล่นอื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น มองเซิง
เป็นการเล่นแบบร้องโต้ตอบกันระหว่างหญิงกับชาย
มีการบรรเลงเพลงพื้นบ้าน โดยวงดนตรีพื้นเมือง ซึ่งใช้เพลงชื่อ “หม่องส่วยยี” เป็นเพลงที่มีทำนองพม่า
และมีการเสนอแนะใหม่โดยผู้มีอำนายการวิทยาลัยนาฏศิลป์ นายธีรยุทธ ยวงศรี
เพชรน้ำเอกของวงการนาฏศิลป์ โดยให้ใช้เพลงทำนองปานแซง ซึ่งเป็นเพลงไทยใหญ่แทน
การเล่นอื่น ๆ เช่น “เฮ็ดความ” หมายความว่า การนั่งร้องเนื้อความที่โต้ตอบกัน
เพียงแต่นั่งร้องอย่างเดียวส่วนการเล่น “จ๊าดไต” เป็นการแสดงแบบลิเก คล้ายละครซอผสมกับลิเกทางภาคกลาง ซึ่งทำให้การแสดงต่าง
ๆ เป็นไปตามแบบอย่างที่เคยมีมาแต่สมัยก่อน ๆ อย่างสมบูรณ์มากขึ้น
การฟ้อนรำแบบปรับปรุงใหม่
คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการกล่าวถึงประวัติของการพัฒนา ซึ่งกล่าวได้ว่า
พระราชายาดารารัศมีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำเอาท่วงที
ลีลาแห่งการฟ้อนรำจากราชสำนักสยามขึ้นไปเผยแพร่
เป็นการจัดระเบียบและวางแบบแผนให้ถูกต้องตามหลักการแห่งนาฏศาสตร์ยิ่งขึ้นมีการฟ้อนต่าง
ๆ ที่ใช้ลีลาที่งดงามยิ่งขึ้น แม้ว่าจะแปลกออกไปจากของดั้งเดิม
แต่ก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า แบบใดเป็นของล้านนามาแต่ดั้งเดิม
และแบบใดเป็นของที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ ดังต่อไปนี้
ฟ้อนเล็บ
แม้เป็นการฟ้อนตามแบบดั้งเดิมก็ตาม แต่กำหนดการแต่งกาย
การประดับดอกไม้บนเรือนผมของผู้ฟ้อนรำซึ่งแตกต่างออกไปจากเดิมบ้าง
ท่วงทีลีลาในการฟ้อนรำก็เชื่องช้า แสดงให้เห็นแบบอย่างของราชสำนักแห่งภาคกลาง
และยังคงใช้วงดนตรีติ่งโนงอย่างเดิม ซึ่งได้มีการแสดง อย่างมโหฬารในคราวรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลพายัพ
และในการสมโภชช้างเผือกสมัยรัชกาลที่ ๗ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๗๐ มีการฟ้อนเล็บในกรุงเทพฯ
ทำให้เกิดความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นที่เลื่องลือกันทั่วไปถึงการฟ้อนเล็บของเมืองเหนือ
วีดิโอ ฟ้อนเล็บ
ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา
เป็นการประดิษฐ์ขึ้นจากฟ้อนกำเปอ แล้วใช้ปี่พาทย์เป็นดนตรีประกอบการฟ้อนรำมีอยู่ ๒
แบบ คือ แบบหนึ่งผู้ฟ้อนรำเป็นหญิงล้วน
อีกแบบหนึ่งผู้ฟ้อนรำผสมกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย
ได้จัดแสดงครั้งแรกเมื่อขึ้นตำหนักใหม่บนดอยสุเทพ
วีดิโอ ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา
ครับ
ตอบลบใช้ทำงานพอดีขอบคุณค่ะ
ตอบลบดีคร่ะะะะะ
ตอบลบเราตะทำตามสัญญา
ตอบลบขอเวลาอีกไม่นาน
ลบขาดลำพูนรือเปล่าคะ นับแล้วได้แค่7
ตอบลบ