ภาคใต้ของประเทศไทยติดต่อกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งแต่ก่อนเรียกกันว่า มลายู ชนพื้นเมืองในประเทศนั้นนับถือศาสนาอิสลาม
ประกอบกับชาวไทยภาคใต้มีความใกล้ชิดกับประเทศใกล้เคียวมาก
จึงมีสำเนียงในการพูดแตกต่างออกไปจากภาคอื่น ๆ
แต่ก็มิได้หมายความว่าจะทำให้ความเป็นไทยลดลง
กลับจะทำให้เกิดความสำนึกในความเป็นไทยมากขึ้น
ในเมื่อต้องอยู่ร่วมกับสังคมของคนไทยที่นับถือศาสนาอื่น ซึ่งก็มิได้เกิดปัญหาแต่อย่างใด
ต่างก็อยู่อย่างสันติสุขมาตลอด การถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน
เป็นไปอย่างเหมาะสมกลมกลืนยิ่ง
ศิลปะแห่งการฟ้อนรำ ดนตรี
และการเล่นการแสดงต่าง ๆ ของภาคใต้
ก็จัดว่ามีเอกลักษณ์เด่นชัดเฉพาะของตัวเอง ความอ่อนช้อย กระฉับกระเฉง
และแม่นยำ มั่นใจในการแสดงออกซึ่งศิลปะทางด้านนี้
ทำให้สะท้อนภาพของการดำเนินชีวิตซึ่งต้องต่อสู้ทั้งภัยธรรมชาติและอื่น ๆ
ทำให้เกิดความแข็งแกร่งในชีวิตจนดูออกจะแข็งกร้าวแต่ไม่ดุร้าย
ความอ่อนโยนทั่วไปจะซ่อนเร้นอยู่กับท่วงทีซึ่งจริงจัง ขึงขังและเฉียบขาด
จาการขับร้องตามสำเนียงท้องถิ่น
ทำให้ทราบได้ว่าเน้นในเรื่องของจังหวะแม้ว่าจะต้องใช้การเอื้อนตามทำนองที่มีทั้งยาวและสั้นก็ตามปฏิภาณในการเล่นเพลงบอก
ซึ่งเป็นเพลงประเภทดำเนินคำกลอน ทำให้ซาบซึ้งถึงคุณธรรมและแนวจริยธรรมของคนในท้องถิ่นอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
โนรา
หรือบางคนเรียกว่า มโนราห์
เป็นศิลปะการแสดงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคใต้ ลักษณะการเดินเรื่อง
และรูปแบบของการแสดงคล้ายละครชาตรีที่นิยมเล่นกันแพร่หลายในภาคกลาง
เดิมการแสดงโนราจะใช้เนื้อเรื่องจากวรรณคดีเรื่องพระสุธน-มโนราห์
โดยตัดตอนแต่ละตอน ตั้งแต่ต้นจนจบมาแสดง เช่น ตอนกินรีทั้งเจ็ดเล่นน้ำในสระ
ตอนพรานบุญจับนางมโนราห์ ตอนพรานบุญจับนางมโนราห์ไปถวายพระสุธน ฯลฯ
ปกติการแสดงโนราจะเริ่มจากนายโรงหรือโนราใหญ่ ซึ่งเป็นตัวเอกหรือหัวหน้าคณะออกมารำ
“จับบทสิบสอง” คือ การรำเรื่องย่อต่าง ๆ สิบสองเรื่อง เช่น พระสุธน-มโนราห์
พระรถ-เมรี ลักษณวงศ์ เป็นต้น
แต่หากผู้ว่าจ้างไปแสดงขอให้จับตอนใดให้จบเป็นเรื่องยาว ๆ ก็จะแสดงตามนั้น
วีดีโอ มโนราห์
หนังตะลุง
เป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคใต้ที่มีมานานจนยังหาต้นตอดั้งเดิมไม่ได้ว่าเริ่มมาตั้งแต่ยุคใด
สมัยใด คงมีการบันทึกไว้ในระยะหลังที่เป็นหลักฐาน แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยัน ว่าเริ่มมีมาเมื่อใด
เท่าที่มีการจดบันทึกได้ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการนำหนังตะลุงจากภาคใต้มาแสดงถวายทอดพระเนตรที่พระราชวังบางปะอิน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙
การแสดงหนังตะลุง
แต่เดิมจะเล่นแต่เรื่องรามเกียรติ์เท่านั้น ต่อมาการติดต่อสื่อสารก้าวหน้าขึ้น
เริ่มนำเรื่องในวรรณคดีต่าง ๆ มาแสดง
ปัจจุบันหนังตะลุงนำนวนิยายรักโศก เหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบันมาแสดง
บางคณะก็แต่งบทเองแบบนวนิยาย มีพระเอก นางเอก ตัวโกง ตัวอิจฉา
การเล่นหรือเชิดหนังตะลุงในช่วงหัวค่ำ ในสมัยก่อนจะเริ่มจากการออกลิงขาว ลิงดำ
หรือที่เรียกว่าจับลิงหัวค่ำ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ไม่มีแล้ว
คณะหนังตะลุง ประกอบด้วย นายหนัง ๑ คน
ซึ่งเป็นเจ้าของคณะเป็นผู้เชิดตัวหนัง พากย์และเจรจา ร้องรับและเล่นดนตรีด้วย
ชื่อคณะมักใช้ชื่อของนายหนังเป็นชื่อคณะ เช่น หนังจูเลี่ยม กิ่งทอง ลูกคู่ ๕-๖ คน
โรงหนังตะลุงจะปลูกเป็นเพิงหมาแหงน
ฝาและหลังคามุงด้วยจากหรือทางมะพร้าว สูงจากพื้นดินราว ๑๕๐-๑๗๐ เซนติเมตร
เป็นโรงสี่เหลี่ยม บันไดขึ้นด้านหลัง ใช้พื้นที่ราว ๘-๙ ตารางเมตร
ด้านหน้าโรงจะมีจอผ้าขาวขอบสีน้ำเงินขึงเต็มหน้าโรง
มีไฟส่องตัวหนังให้เกิดภาพหน้าจอ
มีหยวกกล้วยทั้งต้นสำหรับปักตัวหนังวางอยู่ขอบล่างของจอด้านในลูกคู่และดนตรีจะนั่งอยู่ถัดจากนายโรง
ตัวหนัง ทำจากหนังวัวแกะและฉลุ
ขนาดจะต่างกันไปตามบทบาทของหนัง เช่น รูปเจ้าเมือง รูปยักษ์ รูปฤาษีจะมีขนาดใหญ่กว่ารูปอื่น
ๆ คณะหนึ่ง ๆ จะมีตัวหนังราว ๑๕๐-๒๐๐ ตัว
เวลาเก็บหนังจะแยกกันเก็บ เช่น ยักษ์ พระ นาง จะแยกกัน รูปฤาษี เทวดา
ตัวตลกจะเก็บไว้บนสุด เก็บเป็นแผงซ้อน ๆ กัน
มีไม้ไผ่สานเป็นเสื่อลำแพนหนีบอยู่ทั้งบนและล่าง และใช้เชือกผูก เก็บเป็นแผง ๆ
ดนตรีประกอบการแสดง ประกอบด้วยโหม่ง ๒
ใบ ทับโนรา ๒ ใบ กลองโนรา ๒ ใบ ปี่ ๑ เลา
ความยาวของการแสดงชุดนี้
ใช้เวลาประมาณ ๒-๖ ชั่วโมง
วีดีโอ หนังตะลุง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น